เตรียมตัว เตรียมใจ ไปดีทอกซ์ใจที่โกเอ็นก้า

ทางขึ้นห้องปฏิบัติที่ ศูนย์ธรรมกมลา

ในโลกปัจจุบันอันแสนวุ่นวาย ที่มาพร้อมกับการแข่งขันและความเครียดในการทำงานและการดำรงชีวิต หลายๆคนพยายามไขว่คว้าหาทางออกด้วยการเสาะหาความสุขหรือลืมความเครียดด้วยการหันเหความสนใจจากความทุกข์ที่มี ไปสู่กิจกรรมอื่นๆอย่าง ดูหนัง ช้อปปิ้ง หาอาหารอร่อยๆทาน หรือละทิ้งโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย ไปมีชีวิตเสมือนจริงในโลกสังคมออนไลน์แทน แต่จากประสบการณ์ของเรา เราค้นพบว่าความสุขมันไม่ได้มาจากการทานอาหารระดับมิชลิน สตาร์ หรือจากกระเป๋าแบรนด์เนมใบล่าสุด หรือแม้แต่งานที่มีจะมีรายได้กี่หลักกับไลฟ์สไตล์อันหรูหราซะหน่อย โอเคๆ มันมีความสุข แบบชั่วครู่ ชั่วยามแหล่ะ แต่เอาจริงๆความตื่นเต้นความสุขมันอยู่แค่แว้บเดียว ตอนที่ตัดสินใจซื้อ กับตอนได้ใช้ครั้งแรก เสร็จแล้วเราก็มักจะมองหาของที่อยากได้ชิ้นใหม่ ที่แพงขึ้น หายากมากขึ้นต่อไปเรื่อยๆอยู่ดี เราค้นพบว่าความสุขจริงๆแล้วมันไม่สามารถหาได้จากภายนอกหรอก ตราบใดที่ใจเรามันพร่องเมื่อนั้นมันก็ต้องทุรนทุรายหาความสุขจากคนอื่น สิ่งของ ไปเรื่อยๆ แบบไม่มีจุดสิ้นสุด นั่นคือบทเรียนชีวิตที่เราพบเมื่อสิบปีที่แล้ว

ตอนนั้นเรายังทำอาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินในสายการบินประจำชาติออสเตรเลีย ซึ่งเป็นอาชีพที่เด็กสาวหลายๆคนไฝ่ฝัน ด้วยรายได้ที่ค่อนข้างสูง ถ้าเทียบกับพนักงานออฟฟิศทั่วไปในอายุเท่าๆกัน เราได้บินไปหลายๆประเทศ บางทีก็ได้บินชั้นธุรกิจ หรือชั้นหนึ่งเวลาไปทำงาน ชีวิตตอนนั้นถือว่าดีมากสำหรับผู้หญิงอายุสามสิบต้นๆ มีบ้าน มีรถ ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง มีครอบครัวที่อบอุ่น แต่...มันไม่มีความสุขเอาซะเลย อาจจะด้วยการทำงานที่ต้องเดินทางบ่อยและอยู่คนเดียวในห้องโรงแรมซะเป็นส่วนใหญ่ ความคิดฟุ้งซ่านมันก็มีเยอะ คิดถึงแต่สิ่งที่ขาด ซึ่งก็คือความรัก เจอผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตก็ไม่เคยลงตัว เพราะความคาดหวังที่สูงมากของเรา ช่วงนั้นยอมรับว่ากลายเป็นคนเอาแต่ใจ แหละเหวี่ยงมากกับคนใกล้ชิด จนวันนึงแม่คงทนไม่ไหว 555 มาเล่าว่า เนี่ยดูรายการที่คุณเหมียว วรัตดา ที่ไปวิปัสสนาที่โกเอ็นก้า ว่าเค้าเป็นคนอารมณ์ร้าย แล้วพอไปนั่งสมาธิมาก็เปลี่ยนไป ฟังดูน่าสนใจนะ ณ จุดๆนี้ต้องบอกว่าขอบคุณแม่มากที่มาเล่าให้ฟังตอนนั้น ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ได้ตัดสินใจไปทันที จนเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เราตัดสินใจไปในที่สุด

จากนั้นเป็นต้นมา เราก็ไปปฏิบัติมาต่อเนื่องทุกปี เป็นเวลาสิบปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2009 เราไปทั้งเป็นผู้ปฏิบัติและเป็นธรรมบริกร สำหรับเรามันคือการพักผ่อนประจำปี ที่ได้ล้างพิษทั้งร่างกายและจิตใจไปในเวลาเดียวกัน ปีที่แล้วเราลงรายละเอียดไว้นิดหน่อยในInstagram แต่หลังจากปีนี้มีเพื่อนๆน้องๆมาถามข้อมูล อันเนื่องมาจากโพสท์ของคุณหนูดี ที่พึงกลับจากปฏิบัติ เลยคิดว่าจะเขียนไว้เป็นข้อมูลสำหรับหลายๆคน ที่กำลังสนใจ หรือกำลังตัดสินใจจะลองไปดู สำหรับblogนี้จะให้ข้อมูลเพิ่มในเรื่องการสมัคร และการเตรียมตัวไปเข้าคอร์สที่โกเอ็นก้านะคะ


ขั้นตอนที่ 1 : แนวทางปฏิบัติเหมาะกับคุณถ้า...

สาเหตุหลักๆที่เลือกไปที่นี่ เพราะจริงๆแล้วเราเป็นคนที่ต่อต้านพุทธพานิชย์มากๆ แล้วก็ไม่เคยเชื่อเรื่องทำบุญมากๆแล้วจะขึ้นสวรรค์อะไรนั่น เราไม่ชอบพิธีกรรมใดๆ เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่หลักศาสนาที่พระพุทธเจ้าสอน เราไม่เชื่อเรื่องปาฏิหารณ์ที่แบบท่านประสูติแล้วเดินเจ็ดก้าว แล้วก็เคยไปปฏิบัติกับอีกแนวทางหนึ่งที่ใช้วิธีดูการพอง-ยุบของท้อง แต่เราไม่สามารถนั่งนิ่งๆได้เกินสิบนาทีด้วยซ้ำ แล้วตลอดเวลาที่ฟังคำสอนก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางเรา เราเลยยิ่งไม่สนใจเรื่องธรรมะ บุญบาปเข้าไปใหญ่ (ไม่ใช่ว่าแนวทางเค้าไม่ดีนะ แต่เราแค่รู้สึกว่าเราไม่เก็ต) จนวันหนึ่งที่เราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองเรื่องความสุขจริงๆแล้วมันคืออะไรนี่ล่ะ แล้วเลยลองค้นหาคำว่าGoengaในอินเตอร์เน็ตดู ก็พบว่าท่านเป็นชาวพม่า เชื้อสายอินเดีย ซึ่งสืบทอดแนวทางปฏิบัตินี้มา ไม่มีพิธีกรรมใดๆระหว่างคอร์ส เพราะดูในตารางประจำวันแล้วมีแต่นั่งปฏิบัติ ปฏิบัติและปฏิบัติ ความรู้สึกแรกเลยคือ จะไหวเหรอวะเนี่ย นั่งสมาธิก็ได้แค่แป๊บๆ แต่เอาวะ ไม่ลองไม่รู้


ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า หรือ S.N. Goenga ได้เริ่มก่อตั้งศูนย์วิปัสนาขึ้นครั้งแรกที่อินเดียในปี 2517 และหลังจากนั้นก็ได้มีการเผยแพร่ธรรมะในแนวทางนี้ไปใน 94 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 9 ศูนย์ ด้วยความที่ท่านสอนโดยตัดส่วนพิธีกรรมออกและเน้นแต่แก่นคำสอน จึงทำให้คนต่างศาสนาก็สามารถมาปฏิบัติและเห็นผลได้ จากประสบการณ์ของเราในการปฏิบัติ มันช่วยในการเคลียร์หรือจัดระเบียบความคิด ความเครียดที่เราต้องเจอมาตลอดปี ช่วยให้เราพักสมองจากเครื่องมือสื่อสาร แล้วได้ผลพลอยได้คือการได้อยู่กับตัวเองและรู้จักตัวเองมากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเราต้องอยู่เงียบๆคนเดียวกับความคิดที่มันดังในหัวมากกว่าปกติ แบบไม่มีสิ่งเร้าอื่นๆให้เราหันเหความสนใจได้เลย แล้วมันจะยิ่งดังมากขึ้นถี่ขึ้นเวลาที่เราต้องนั่งเฉยๆหลับตา พยายามจดจ่ออยู่กับลมหายใจ

อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าคิดว่าจะไปต่อก็ได้เวลาสมัครค่ะ ขอบอกไว้ก่อนว่าคอร์สพวกนี้ต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย3-4เดือน และจะจองยากโดยเฉพาะพวกคอร์สที่อยู่ในช่วงวันหยุดยาว อย่างที่บอกว่าในเมืองไทยมีศูนย์อยู่ทั้งหมด9ศูนย์ 341ศูนย์ใน 94ประเทศทั่วโลก เราสามารถเช็คตารางคอร์ส ได้ ที่เว็บhttp://thaidhamma.net. คอร์สก็จะมีหลากหลาย ตั้งแต่เบสิคที่ทุกคนจะต้องเข้าคือ 10 วัน 20, 30 จนถึง45วัน แต่ศิษย์ใหม่ทุกคนจะต้องเริ่มจากคอร์สเบื้องต้นคือ 10 วันก่อน ส่วนตัวเคยไปอยู่ไม่กี่ศูนย์ แต่พบว่ามีความสัปปายะ เหมาะสำหรับตนเองก็เลยไม่ค่อยอยากลองที่อื่นๆเท่าไหร่ ก็จะมีศูนย์ธรรมกมลา ที่ปราจีนบุรี ธรรมอาภา ที่พิษณุโลก และ ธรรมธานีที่กรุงเทพ ส่วนตัวจะเลือกไปปราจีนกับพิษณุโลก เพราะการเดินทางค่อนข้างสะดวก อากาศดี และส่วนใหญ่คือมีห้องพักเดี่ยวที่มีห้องน้ำในตัว

การเข้าปฏิบัตินี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ แต่จะได้รับการสนับสนุนทุนจากศิษย์เก่าเพื่อช่วยให้การดำเนินเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง ตามความตั้งใจของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า (เราจะได้ฟังว่าสาหตุมาจากอะไรในช่วงระหว่าง10วันนี่ล่ะ) พอหลังจากจบคอร์ส เราก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการบริจาคสมทบทุนค่าใช้จ่ายในการจัดคอร์สสำหรับศิษย์รุ่นต่อๆไปได้

การเดินทางไปศูนย์ปฏิบัติ
หลังจากสมัครเข้าอบรมในเว็บแล้ว เราก็จะต้องรออีเมล์ยืนยันว่ามีสิทธิ์เข้าร่วมการอบรม (ยิ่งคอร์สช่วงวันหยุดยาว นี่จะจองยากมาก ต้องจองกันล่วงหน้าอย่างน้อย3-4เดือนทีเดียว) ในเมล์ก็จะมีแจ้งรายละเอียดต่างๆ รวมถึงการเดินทาง ปกติเรามักเดินทางกับรถบัสของทางศูนย์ เพราะสะดวกและไม่ต้องกังวลกับรถ หรือจะแอบหนีกลับบ้านได้ระหว่างทาง 

ข้อปฏิบัติที่สำคัญที่เกี่ยวกับที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆแล้ว ก็คือศีลค่ะ การเข้ามาปฏิบัติในแนวทางนี้ จะต้องถือศีลขั้นต่ำคือศีล5 และศึล8สำหรับผู้ปฏิบัติเก่า ตลอดเวลา10วัน


ศีล 5 (สำหรับศิษย์ใหม่)
 1. งดเว้นจากการเบียดเบียน ชีวิต ไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
 2. งดเว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้
 3. งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
 4. งดเว้นจากการพูดเท็จ หรือนินทา
 5. งดเว้นจากการเสพของมึนเมา รวมทั้งยาเสพติด

ศีล 8 (มีเพิ่มเติมจากศีล5มาอีก3 ข้อ)
  1. งดเว้นจากการเบียดเบียน ชีวิต ไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
 2. งดเว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้
 3. งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
 4. งดเว้นจากการพูดเท็จ หรือนินทา
 5. งดเว้นจากการเสพของมึนเมา รวมทั้งยาเสพติด
 6. งดเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
 7. งดเว้นจากการประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับและของหอม
 8. งดเว้นจากการนอนบนที่นอนสูงใหญ่ 

ดังนั้นจึงเป็นที่มาที่ผู้ปฏิบัติจะไม่ทานมื้อเย็น เพราะต้องถือศีล8 นั่นเอง นี่ก็เป็นอีกสาเหตุนึงที่เราเรียกการเข้าปฏิบัติว่าเป็นการdetoxทางกายด้วย เพราะนอกจากงดข้าวเย็นตั้งสิบวัน เรายังทานแต่อาหารมังสวิรัติด้วย ถือว่าเป็นการทำความสะอาดลำไส้และจิตใจไปในคราวเดียวกันเลยทีเดียว

Step 2: ต้องเตรียมอะไรบ้าง และอย่างไร

พอได้อีเมล์ยืนยันว่าการจองคอร์สของเราสำเร็จแล้ว เราต้องเตรียมวันลาอย่างน้อยแปดวัน รวมวันเสาร์ อาทิตย์ 4วัน ก็จะเป็น12วันพอดี ก็คือ วันเดินทาง1วัน ที่ลงทะเบียนรายงานตัว เข้าที่พัก, วันปฏิบัติ 10วันเต็ม จบด้วยวันเดินทางกลับ1วัน ดังนั้นมนุษย์เงินเดือนถึงชอบไปกันช่วงวันหยุดยาวเพราะไม่ต้องลาเยอะ รวมถึงบางคนก็ชอบไปปฏิบัติช่วงปีใหม่ เพื่อเริ่มต้นปีใหม่ด้วยสิ่งดีๆด้วย

เก็บกระเป๋ากัน!!

ถ้าถามว่าเราต้องแพ็คอะไรไปช่วง10วันน่ะเหรอ ถึงแม้ว่าการเข้าร่วมปฏิบัติที่นี่ ไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะศิษย์เก่าจะช่วยกันบริจาค แต่เราก็ควรต้องรู้ไว้ว่าต้องเอาของใช้อะไรไปบ้าง เพื่อการเตรียมตัวที่ดี และประสบผลตามที่ตั้งใจไว้ คือมีการติดต่อพูดคุยให้น้อยที่สุด

1. ชุดปฏิบัติ ที่นี่ไม่บังคับให้ต้องนุ่งขาวห่มขาว แต่ก็ต้องสุภาพ ไม่รบกวนสายตาผู้อื่นระหว่างการปฏิบัติ พูดง่ายๆก็ สีสุภาพ ไม่ฉูดฉาด โดดเด่นเกินไป ปกปิดมิดชิด เสื้อยืดแขนสั้น กางเกงขายาว ไม่รัดรูปร่าง ไม่โปร่งบางจนเกินไป แนะนำว่าควรใส่อะไรที่นั่งปฏิบัติได้สบายๆเสื้อยืด กางเกงเลนี่ดีที่สุด ผู้หญิงหลายๆคนก็นิยมใส่ผ้าถุง แต่เรานั่งไม่ได้ กลัวโป๊ เออ แล้วก็แนะนำว่าเอาผ้าคลุมไหล่ไปด้วย เวลาอากาศเย็น หรือจะเอามาใช้คลุมหน้าตักก็ได้ สำหรับคนขี้หนาว ก็เช็คสภาพอากาศดีๆ เตรียมเสื้อคาร์ดิแกน หรือถุงเท้ามาด้วยจะได้ปฏิบัติสบายๆ 
เราสามารถซักเสื้อผ้าได้เองระหว่างช่วงพัก หรือจะส่งซักก็มีบริการ รู้สึกจะราคาชิ้นละ 5 บาทหรือจะเอามาให้พอเลยก็ได้ อ้อ อย่าลืมชุดนอน ชุดชั้นใน ผ้าขนหนูอาบน้ำ หรือจะเอารองเท้าแตะที่ใส่ในห้องไปด้วยก็ดี

2. ของใช้ส่วนตัว: เตรียมของใช้ตามปกติเพื่อรักษาสุขอนามัย แต่อย่าลืมว่าต้องไม่มีกลิ่นหอมแรง (ดูศีลข้อ7)ของจำเป็นอื่นๆก็ กระดาษชำระที่ใช้ในห้องน้ำ เอาไปซัก2-3ม้วน น้ำยาซักชุดชั้นใน ผ้าอนามัย ขวดน้ำที่เติมได้ และอื่นๆ แต่ถ้าเกิดลืม หรือต้องใช้อะไรขึ้นมา ก็สามารถติดต่อผู้จัดการคอร์สหรือธรรมบริการเพื่อขอความช่วยเหลือได้เช่นกันค่ะ 
3. อันนี้ optional ของบริจาค แต่ละศูนย์ยังรับบริจาคพวกของแห้ง ที่ไม่มีนม เนย ไข่ เนื้อสัตว์ หรือพวกชา กาแฟ สำหรับน้ำปานะ ของแห้งต่างๆ ของสดก็ได้เช่นกันค่ะ 

สิ่งที่จะต้องเจอใน10วัน?

สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องรู้เลย คือเราจะต้อง งดการพูดคุยตลอดเวลา10วัน หรือที่เรียกว่า Noble Silence แต่มีข้อยกเว้นเวลาที่ต้องขอความช่วยเหลือในกรณีจำเป็นกับธรรมบริการ หรือเวลาสอบอารมณ์กับ AT หรืออาจารย์ผู้ช่วยสอน นอกจากนี้คือ หลีกเลี่ยงการสื่อสารกับผู้ปฏิบัติคนอื่น ไม่ว่าจะด้วยช่องทางใดๆ รวมถึงการสบตาคนอื่นด้วย

ทำไม? การที่เราต้องอยู่คนเดียวเงียบๆกับความคิดนี่ล่ะ มันจะทำให้เราเรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ที่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับตัวเรา ความนึกคิดของเราที่เราก็ไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซำ้ไป ว่าเรานี่ร้ายกาจอ่ะ 



พอเราเดินทางมาถึงที่ศูนย์ ก็เริ่มด้วยการลงทะเบียน อย่าลืมปริ้นท์แบบฟอร์มลงทะเบียนจากเว็บไซด์มาด้วยนะคะ ขั้นตอนนี้ก็จะมีการให้ทุกคนรวมรวมของมีค่าทั้งหลาย กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ เครื่องมือสื่อสารทุกอย่าง รวมถึงพวกเครื่องเขียน สมุดจด แล้วก็เครื่องรางของขลังต่างๆและที่สำคัญกุญแจรถถ้าขับรถไปเอง เก็บไว้ในล็อกเกอร์ของใครของมัน อันนี้ก็เป็นทางในการละตัวตน ลดสิ่งเร้าภายนอกต่างๆที่จะมารบกวนการปฏิบัติ หรือทำให้ต้องมานั่งกังวลของสิ่งของด้วยเช่นกัน ดังนั้นแนะนำเลยว่าตอนไป อย่าพกอะไรพวกนี้ที่ไม่จำเป็นไปจะเป็นการดีที่สุดค่ะ 

ตารางปฏิบัติประจำวัน


การปฏิบัติก็จะเริ่มตั้งแต่ ตีสี่ แล้วสิ้นสุดลงเวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง เวลาส่วนใหญ่จะใช้ไปในการนั่งสมาธิ แต่ไม่ต้องตกใจไปค่ะ คือลองคิดดูว่า ตัวคนเขียนเองไม่เคยนั่งสมาธิได้เกิน 10นาทีก่อนที่จะมาฝึกในแนวทางนี้ แล้วตอนนี้คือสามารถนั่งนิ่งๆชิลๆได้เกิน1ชั่วโมงโดยไม่ต้องเปลี่ยนท่าอีกต่างหาก ถ้าเราทำได้ ทุกคนก็ต้องทำด้ายย

สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก

ห้องนอนและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็จะมีให้เท่าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน อย่าคาดหวังความสะดวกสะบายหรูหรา เพราะนี่คือการฝึกตัวเองให้ละตัวตนและเลิกลดในสิ่งที่ไม่ได้จำเป็นในชีวิต เพื่อที่จะขัดเกลาจิต และเรียนรู้ความจริงของชีวิต และการอยู่กับตัวเองให้ได้ เพราะสุดท้ายเราก็ต้องไปจากโลกนี้คนเดียว โดยที่เอาอะไรไปด้วยไม่ได้แม้แต่ร่างกายเราเอง

ห้องนอน 
ห้องน้ำและห้องอาบน้ำ

เราจะไม่เล่าอะไรมากเรื่องวิธีการปฏิบัติ เพราะจะเป็นการดีที่สุดที่จะไม่รู้อะไรไปเลย เพราะมันเป็นประสบการร์เฉพาะตน แต่บอกได้อย่างเดียวคือไปเถอะ มันคุ้มกับเวลา10วันแน่ๆ แต่3-4วันแรกมันจะเป็นอะไรที่ยากลำบากในการทดสอบจิตใจเรา ทุกครั้งที่ไปเราก็หลับ หรือสัปะหงกตลอดนะช่วง3 วันแรก แต่ถ้าผ่านไปได้ก็สบายแล้ว ลองนึกถึงการจับเอาลิงป่าซักตัวไปไว้ในกรงเป็นครั้งแรก ก็เหมือนกับปฏิกิริยาของจิตที่อยู่ดีๆก็เอาสิ่งเร้าทุกอย่างออกไป ก็เหมือนกันอย่างไรอย่างนั้นเลย 

แล้วที่แปลกคือทุกปีที่ไป ก็มักจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆทุกครั้ง ถึงแม้การปฏิบัติและเทปคำสอนคือคือเหมือนเดิมทุกครั้ง สิ่งที่ได้ไปมันเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆ มันทำให้เราผ่านช่วงเวลายากๆในชีวิตมาได้แบบไม่บาดเจ็บทางใจทั้งโดนlay off ทั้งอกหัก หรือเมื่อเจอกับความสูญเสีย มันทำให้มีสติกับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะดีจะร้าย ดังนั้นก็หวังว่ามันจะช่วยใครก็ตามที่ได้มีโอกาสไปปฏิบัติเช่นกัน 


ลิ้งค์เรื่องของTwitter CEO ที่ไปปฏิบัติแนวทางนี้นะคะ 

Comments

Popular Posts