Wedding Planner - Part 1 Marriage Registration in Thailand - จดทะเบียนสมรสกับผู้ชายเยอรมัน

As I mentioned before about my wedding planning, I guess it's about time to share with you about the details and how I plan and execute my wedding party.

Once we decided to get married, it was pretty clear that we are on the same page in terms of the location, the format and how we like it to be. So let's start on the basic thing.


It's official!


OK... the most important and challenging thing for us would be how to get documents for our wedding registration in Bangkok. It is super easy for Thai with Thai to be married with just id cards. But for Thai and non-Thai, it comes with a lot of complication. There are many agency who can help you doing these process but we wanted to do it ourselves. So if you are considering to get married to a foreigner, this blog would be helpful for you.

We started to research for information since February-March to have more idea about what kind of documents we would need which are a lot! My case would be Thai with German which probably varies in other nationalities.

For a Thai person to be legally married to a German, you will need these following documents:

  • Birth certificate: This has to be the original copy so please check with your parents beforehand. I thought my one which my mom gave to me long time ago was the original but apparently not! So I had to go back and forth between two district offices because the original copy is in the district of my birth hospital but then my parents changed my name at the actual district we used to live. So parents, please keep your child's birth certificate where you can find it in the next 40 years time.
  • Proof of marital status that you are single from your residential district office and also Thai Central Registration Department.
  • Passport
  • House registration
Then these documents have to be translated into German by a translator that has German Embassy authorisation then legalised by German Embassy. Then sent all these document to Germany to request for my fiance's document to process back in Thailand again in order to register our marriage in Bangkok with one of the district office. Long story short it took us a couple months to process all these and each nationality have different process and requirements. You can find more information from the embassy website.  https://bangkok.diplo.de/th-th/service/eheschliessungen/1666636

From now will be in Thai as I think it would be more useful for Thai ladies out there who wants to process this by themselves.

For my next blog, it will be about how I planned my wedding and put this together. If you like an intimate wedding with personal touch within a good budget.

Until next time 💋

ก่อนอื่น ต้องบอกเลยว่า การแต่งงานหรือจดทะเบียนสมรสเป็นสิ่งที่ ไม่เคยอยู่ในความคิดสำหรับผู้หญิงอายุ 40 แบบเรา จากที่เคยคิดว่าชีวิตนี้คงอยู่แบบhappily single เพราะเอาจริงๆ ชีวิตมีหมดทุกอย่างที่คิดว่าอยากได้ และอยู่ได้สบายๆ เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงพ่อแม่ได้ มีงานที่ดีและรักที่จะทำ มีอสังหาริมทรัพย์ มีรถเป็นของตัวเอง อยากได้อะไร ก็ซื้อเองได้ เคยคิดเล่นๆว่า ขอแค่มีแฟนที่มี lifestyle ใกล้เคียงกัน เดินทางด้วยกันได้ เป็นคนดี ก็คงจะดีไม่น้อย แต่ทำไมมันยากจังแว๊ 

ระหว่างทางก็มีเดทบ้างประปราย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นต่างชาติ เพราะรู้ตัวว่าทั้งลุค ทั้งตัวตนเราชายไทยคงรับไม่ไหว แล้วที่สำคัญขนาดต่างชาติยังมีประเด็นกับความแต่งตัวจัดด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่เลิกคบกับแต่ละคนเราก็มองว่ามันเป็นบทเรียนที่ทำให้เราโตขึ้น เรียนรู้คนและโลกมากขึ้น บทเรียนอย่างนึงคือความสัมพันธ์มันต้องเกิดจากความพยายามของคนสองคน ถ้าเมื่อไหร่ที่คนนึงต้องพยายามอย่างหนักจนรู้สึกว่ามันเหนื่อยเหลือเกิน นั่นหมายความว่ามันไม่ใช่แล้วค่ะคุณ 

เราเจอทั้งคนที่โปรไฟล์ดีมาก เป็นถึงผู้กำกับมีชื่อเสียงระดับBox Office ดูอ่อนโยนจิตใจดี สุดท้ายเป็นเสือผู้หญิงตัวพ่อ โดยที่บอกให้เรารับรู้นะว่ามีผู้หญิงคนอื่นอีก แต่อยากให้เรารับได้และคบกันต่อ สุดท้ายเราก็ต้องเลือกที่จะเดินออกมาเพื่อสุขภาพจิตของตัวเอง หรืออีกคนก็เป็นคนมีชื่อเสียงที่ประเทศเค้า คุยกันมาตั้งแต่เริ่มบิน จนสุดท้ายต้องตัดสินใจตัดการติดต่อทุกทาง เพราะเจอว่าระหว่างทางเค้าก็เริ่มจริงจังกับคนที่ประเทศเดียวกัน แล้วก็ดีใจมากทีตัดสินใจเลิกคุย เพราะหลังจากนั้นแฟนนางก็ตั้งท้องเลยค๊า  

ทั้งหมดที่เล่ามาคือจะบอกว่า คนเรามันต้องเจอความสัมพันธ์แย่ๆก่อนแหล่ะ ถึงจะรู้ว่าที่มันดีคืออะไร แล้วก็รักตัวเองให้มากๆ มากพอที่จะไม่ทิ้งศักดิ์ศรีของเราเพื่อผู้ชายแย่ๆ อย่าคิดว่าเราดี เราโปรไฟล์เริ่ดผู้ชายจะต้องเลือกเรา No ค่ะ ความรักมันเป็นเรื่องของเคมี ที่ผู้ชายคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงคนนี้แล้วมีความสุขมั้ย ดังนั้นไม่ไม่มีอะไรที่ต้องเก็บมาคิดว่า เค้าไม่เลือกเราเพราะอะไร เสียเวลาค่ะ เสียใจวันนี้มันไม่นาน เพราะชีวิตเรายังมีอะไรรออยู่อีกเยอะ มองมันให้เป็นบทเรียนชั้นดี อกหักมันไม่ใช่จุดจบของชีวิต หรือชีวิตเราจะไร้ค่าถ้าไม่มีแฟน ผู้ชายเป็นแค่optionเสริมค่ะ เราว่าคนเราจะมีความสุขได้ มันขึ้นอยู่กับตัวเรานี่แหล่ะ ถึงมีแฟนมันก็ทุกข์แบบคนมีแฟนอยู่ดี 

เข้าเรื่องดีกว่าบ่นมาเยอะ 555 เราเจอสามีเมื่อตอนอายุ39 เป็นวัยที่ล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานไปแล้ว ที่บ้านก็บอกว่าเป็นโสดแหละ สบายดี แล้วอยู่ดีๆก็เจออีตาคนนี้นี่แหล่ะ เค้าเป็นคนเยอรมัน ทำงานในเมืองไทยมาสองปีแล้ว กำลังจะย้ายกลับเยอรมัน เลยลงมากรุงเทพ เป็นทริปถ่ายรูปสุดสัปดาห์สุดท้าย เรานัดกินข้าวกลางวันกันระหว่างพักเบรค45นาที แล้วต้องวิ่งกลับไปทำงานต่อ โดยที่คิดแค่ว่า เจอเพื่อนใหม่ คงไม่มีอะไรหลังจากนี้ จนเค้าบินกลับไปบ้าน จนตัดสินใจบินกลับมาหางานที่กรุงเทพ เพื่อจะได้ศึกษานิสัยใจคอกันจริงๆ ทุกอย่างมันเป็นไปแบบธรรมชาติมาก ต้องบอกว่าปรับตัวอยู่สักพักเลย กับการต้องมีอีกคนในชีวิตที่ต้องนึกถึง จากที่ไม่เคยต้องรายงานตัวกับใคร ซึ่งในระยะสองปีที่คบกัน มันก็มีที่ถกเถียง หาจุดลงตัวกัน เพราะโตกันมากๆแล้วทั้งคู่ มีตัวตนสูงกันทั้งคู่ แต่มันก็ทำให้เราเรียนรู้ที่จะเลิกเอาชนะคะคานกัน มีอะไรก็ต้องพูดกันตรงๆ สุดท้ายอย่างที่เคยเล่าไปในblog Florenceน่ะแหล่ะ ว่าเค้าก็ขอแต่งงานหลังจากคบกันได้ปีกว่า เค้าเป็นผู้ชายสายแฟ ที่ไม่ได้ทำงานในวงการแฟชั่น แต่เค้ารับในตัวตนเราได้ ในความเยอะของการแต่งตัว อาจมีวิจารณ์บ้าง ถ้าเยอะมาก มีการใช้ชีวิตที่ไปในทางเดียวกัน เราไม่จำเป็นต้องชอบอะไรเหมือนกันหมด แต่มันต้องมีจุดลงตัวที่ไปด้วยกันได้ โดยรวมเค้าให้อิสระ และความเข้าใจในตัวเรามากๆ เป็นที่ปรึกษาที่ดีและให้มุมมองใหม่ๆทั้งชีวิตและเรื่องงาน ถึงแม้จะกลายร่างเป็นลุงขี้บ่นบ้างในบางครั้ง แต่เค้าทำให้เรารู้จักความรักจริงๆ ทั้งที่เมื่อก่อนเราไม่เคยเชื่อในความรัก แล้วก็ไม่เคยคิดว่าเราจะรักใครได้โดยไม่มีเงื่อนไข 

ทีนี้นอกจากการจัดงานรื่นเริงแล้ว มันก็มีส่วนสำคัญคือส่วนกฏหมาย คือการจดทะเบียนสมรส ซึ่งเป็นส่วนที่ยุ่งยากมาก (ในความคิดเรา) เราสองคนศึกษากันพอสมควรว่าสามารถจดได้ทั้งที่กรุงเทพและที่เยอรมัน แต่ด้วยเงื่อนเวลา กรุงเทพดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเตรียมเอกสาร ซึ่งใช้เวลาและพลังงานพอสมควร หรือสามารถใช้agencyเดินเรื่องได้เหมือนกัน ถ้าไม่มีเวลา

1. สูติบัตร คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายคะ กรุณาเก็บต้นฉบับไว้ให้ดีเลยค่ะ ถ้าในอนาคตลูกของคุณจะแต่งงานกับชาวต่างชาติ เน้นว่าต้นฉบับนะคะ เนื่องจากสูติบัตรที่แม่เราเก็บไว้จนเหลืองนั้น จริงๆแล้วเป็นสำเนาซึ่งพึ่งมารู้ทีหลัง และพ่อแม่เราทำการเปลี่ยนชื่อหลังแจ้งเกิด โดยไม่ได้มาแจ้งต้นทาง ดังนั้นเราเลยต้องวิ่งไปสองเขต ทั้งที่แจ้งเกิด และที่ย้ายเข้า/เปลี่ยนชื่อ
2. หนังสือรับรองสถานภาพสมรสจากเขตที่อาศัยอยู่ อันนี้ไปขอที่เขตง่ายอยู่ แต่ต้องนำพยานไปด้วยสองคน ที่รู้จักเราแน่ๆ เขตจะrunทะเบียนดูว่าเราเคยจดทะเบียนสมรสกับใครมาก่อนมั้ยในเขตนี้
3. ใบสำคัญแสดงสถานะโสดจากกรมทะเบียนกลาง อันนี้คือต้องเข้าไปที่กรมทะเบียนกลางของกระทรวงมหาดไทย แล้วยื่นคำร้องขอคัดทะเบียนว่าเราเคยจดทะเบียนสมรสกับใครมาก่อนรึเปล่าในประเทศไทย 
4. Passport
5. สำเนาทะเบียนบ้าน

ทั้งหมดนี้จะต้องส่งไปให้บริษัทแปลที่ได้รับการรับรองจากสถานทูตเยอรมันแปลเท่านั้น ค่าใช้จ่ายในการแปลตกอยู่หน้าละประมาณ1,000บาท เราส่งสำนักแปลที่Goethe ใช้เวลาประมาณ 2-3วัน จากนั้นก็ต้องไปยื่นเอกสารทั้งหมดนี้พร้อมตัวจริงที่สถานทูตเยอรมันเพื่อทำการรับรองเอกสาร หรือ legalise ทั้งหมดนี้ประมาณ 5,600 เจ้าหน้าที่ที่ดูแลให้ความช่วยเหลือแนะนำดีมาก ถ้าเทียบกับประสบการณ์ในการติดต่อเรื่องอื่น พอเอกสารพร้อมเค้าก็จะแจ้งมาหรือโทรไปเช็คได้

จากนั้นก็จะเป็นส่วนของทางผู้ชายล่ะค่ะ เพราะทั้งหมดนี้เพื่อส่งประกอบให้เค้ายื่นขอหนังสือรับรองสถานภาพสมรสเช่นเดียวกันจากประเทศเยอรมัน เรียกว่า "Ehefähigkeitszeugnis" พอเราได้เอกสารตัวนี้กลับมา เราก็ต้องเอาไปส่งให้สถานทูตเยอรมันรับรองอีกรอบพร้อมกันกับเอกสารอีกสองตัวคือ 
1. passport ของทั้งสองคน 
2. แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล เกี่ยวกับพวกรายได้ ที่ทำงานอะไรพวกนี้ สามารถโหลดแบบฟอร์มได้ที่website สถานทูต ตามlinkด้านบนนะคะ
3. Ehefähigkeitszeugnis จะต้องมีอายุไม่เกิน60วัน

สถานทูตจะออกเอกสารชื่อ "Konsularbescheinigung" คือใบอนุญาตให้จดทะเบียนสมรสได้ แต่ยังค่ะ คุณยังไปจดไม่ได้ คุณและผู้ชายจะต้องไปยื่นให้กรมการกงศุลรับรองก่อน เราแนะนำว่าถ้าอยู่ในเมือง ไปที่สถานีMRT คลองเตยเลย สะดวกดี คิวไม่ยาว สามารถจองคิวออนไลน์ได้ที่นี่เลยค่ะ https://e-legalization.mfa.go.th    จ่ายค่ารับรองเอกสารไปอีก600บาท จากนั้น ก็ไปยื่นขอจดทะเบียนได้ค่ะ

อีกคำถามนึงที่เกิดขึ้นคือ จดที่เขตไหนดี หลายๆคนบอกว่า เขตบางรักสะดวกดี เข้าไปกดบัตรคิว ยื่นเอกสารก็จดได้เลย แต่คุณสามีอ่านรีวิวแล้วบอกไม่เอาอ่ะ มีคนบอกว่าไม่ดี เอ๊า ทีนี้เราเลยตัดสินใจเลือกเขตที่เราแจ้งเกิดไปทำเรื่องขอสูติบัตรนี่ล่ะวะ ดูสวยงาม ไม่อึมครึม แต่....มันไม่ง่ายเหมือนที่บางรักค๊า จากการติดต่อหน่วยงานราชการเยอะในช่วงนี้นั้นเราได้เรียนรู้ว่า โทรไปถามก่อนล่วงหน้า จะปลอดภัยและไม่เสียเที่ยวสุด สำหรับเขตที่เราไปจดนั้น จะต้องเอาเอกสารไปให้ฝ่ายทะเบียนตรวจสอบก่อน แล้วถึงจะจองเวลาในการจดทะเบียนได้ ก่อนวันจดเราจะได้รับเอกสาร3ฉบับมากรอกข้อมูลก่อน สำหรับ ฝ่ายชาย ฝ่ายหญิง และล่าม

ใช่ค่ะ วันจดทะเบียน เราจะต้องนำล่ามไปด้วย จะเป็นใครก็ได้ที่สื่อสารภาษาอังกฤษ หรือภาษาที่คู่สมรสพูดในกรณีที่พูดไทยไม่ได้ พร้อมพยาน 2 คน จะเป็นเพื่อนหรือครอบครัวก็ได้ สัญชาติไทย เราถามไปว่าเราก็แปลได้ สามารถเป็นล่ามได้มั้ย ทางเขตตอบว่าไม่ได้นะคะ เพราะเดี๋ยวจะแปลแบบบิดเบือน 555 ที่สำคัญต้องแน่ใจว่าใบอนุญาตให้จดทะเบียนสมรสได้นั้นยังมีอายุในช่วงเวลาที่กำหนด ของเราตอนยื่นเป็นกฏเก่าคือ 90 วัน แต่วันจดรัฐบาลพึ่งเปลี่ยนเป็น 60 วัน ดีว่าเค้าอนุญาตให้เป็นกรณียกเว้น เพราะเราจองวันศุกร์ก่อนวันงานแต่งงานซึ่งล่วงหน้าไปประมาณเดือนนึง 

ระหว่างก่อนหน้าวันนัดก็แนะนำให้วางตัวพยาน และล่ามไว้ล่วงหน้าเพื่อความไม่ฉุกละหุก แต่อย่างว่าชีวิตมักมีสิ่งที่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ เรามีตั้งแต่เปลี่ยนล่าม และเปลี่ยนพยานเอาสองวันก่อนเวลานัด ดังนั้นทำใจร่มๆ และอย่าไปเครียดมาก เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่เราต้องไม่สติเสียค่ะ


Our translator


Waiting for our document to be checked

A little champagne celebration


เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ถึงวันจดทะเบียนแล้ววทางเขตนัดให้เราไปถึง30นาทีล่วงหน้า เพื่อตรวจเอกสาร วันนั้นเรามีแม่และน้าสาวไปเป็นพยาน เพื่อนสนิทเป็นล่าม และมีกองเชียร์รับเชิญจากเยอรมันคือเพื่อนสนิทสามีมาด้วย บวกน้องตากล้องซึ่งน่ารักมากมาsnapให้เป็นพิเศษ จากที่เราคิดว่าการจดทะเบียนสมรสมันคงเหมือนไปทำบัตรประชาชน กลายเป็นอีกวันที่จะเก็บไว้ในความทรงจำวันนึงเลย มันเรียบง่ายแต่มีความหมายและสนุกที่เราฉลองกับคนที่เรารัก และมันคือ Carrie Bradshaw จดทะเบียนกับ Mr.Big ต่างแค่เราใส่ Jimmy Choo ไม่ใช่ Christian Louboutin เท่านั้นเอง 😆


In Jimmy Choo pumps and a sporran from Edinburgh

หวังว่าBlogนี้จะมีประโยชน์กับสาวๆที่คิดว่าจะแต่งงานกับชาวต่างชาติไม่มากก็น้อยนะคะ ถ้ามีคำถามอะไรเพิ่มเติมก็ทิ้งcomment ไว้ได้เลย หรือถ้าต้องการรายละเอียดที่ชัดเจนให้เข้าไปที่linkของสถานทูต https://bangkok.diplo.de/th-th/service/eheschliessungen/1666636

Ps. แต่ละชาติจะมีrequirementเรื่องเอกสารไม่เหมือนกันนะคะ กรุณาศึกษาข้อมูลของสถานทูตนั้นๆ ก่อน และศึกษาคู่สมรสของคุณให้ดีก่อนตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน การแต่งงานมีความเสี่ยงเหมือนการลงทุนค่ะ เช่นเดียวกันกับแต่ละเขตที่มีข้อกำหนดไม่เหมือนกัน ดังนั้นโทรไปถามก่อนเพื่อความไม่เสียเวลาค่ะ

Blog หน้าจะมาว่าถึงการวางแผนจัดงานแล้ว ถ้าใครเห็นงานแล้วชอบ หรืออยากได้งานที่intimate มีรายละเอียดน่าจดจำ ไม่ต้องใช้งบมากมาย มาติดตามได้ค่ะ เพราะเราเตรียมงานกันเองหมดทุกรายละเอียด

Until next time 💋  

Comments

Popular Posts